5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2022

5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2022

วันนี้เราพามาพบกับ “5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2022” โดย ซอฟต์แวร์  ที่เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตด้านผลผลิตรถยนต์ ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาซึ่งทางผู้ผลิตรถยนต์เอง ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนารถยนต์ และซอฟต์แวร์เป็นหลัก ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลักของกำไรให้กับผู้ผลิต โดยทางผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ จะแปลงสภาพเป็นบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ในที่สุด

 

ทั้งนี้ การ์ทเนอร์ ได้เปิด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญในปี 2022 ที่ผู้บริหารด้านไอทีควรที่จะพิจารณาเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ครับ

 

มาดูกันเลย 5 แนวโน้มเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2022 

 

1. ผู้ผลิตรถยนต์จะทบทวนแนวทางการจัดหาชิ้นส่วน (Hardware)  โดยทางผู้ผลิตรถยนต์กำลังพิจารณากลยุทธ์จัดเก็บสินค้าคงคลังระยะยาวที่ยึดตามหลักการจัดการสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดีหรือ Just-In-Time (JIT) ซึ่งส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน (OEM) รวมถึงซัพพลายเออร์ระดับ Tier 1 ไม่มีสินค้าสำรองในช่วงภาวะการขาดแคลนชิปต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกว่า จะจัดการกับผู้ผลิตชิปได้อย่างไร รวมไปถึงการพิจารณาการผลิตชิปของตนเองด้วย

 

ทั้งนี้ การ์ทเนอร์ยังคาดว่าในปี 2025 ครึ่งนึง (50%) ของ 10 บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ชั้นนำ จะผลิตชิปของตนเอง และสร้างกลยุทธ์รวมถึงความสัมพันธ์ระยะยาวร่วมกับผู้ผลิตชิปต่างๆ โดยตรง พร้อมยกเลิกระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (JIT)    

 

2. บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศยานยนต์ ในปี 2022 นี้จะเห็นบริษัทดิจิทัลยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon Web Services (AWS), Google, Alibaba หรือ Tencent ได้ทำการขยายธุรกิจในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเหล่านี้ กำลังนำรถยนต์ เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเองมากขึ้น และในที่สุดก็จะเปิดเป็นบริการที่เชื่อมต่อเทคโนโลยี เข้ากับรถยนต์ในรูปแบบใหม่ๆ โดยการ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2028 70% ของยานพาหนะที่ขายออกไปจะใช้ระบบปฏิบัติการ Android ในรถยนต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่วันนี้มีไม่ถึง 1%

 

เนื่องมาจาก การพัฒนาเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ด้วยตนเองเป็นเรื่องที่ยาก บริษัทรถยนต์ จึงได้ร่วมมือกับบริษัทดิจิทัลรายใหญ่ๆ ก็เพื่อที่จะเปลี่ยนซอฟต์แวร์ให้กลายเป็นช่องทางการเพิ่มรายได้หลัก หรือสร้างทรัพยากรภายในองค์กรจำนวนมากให้บรรลุเป้าหมายองค์กรได้ด้วยตนเองครับ

    

3. โมเดลข้อมูลและความร่วมมือแบบเปิด (Open Data and Open-Source Collaboration) สร้างความสำเร็จต่อเนื่อง ช่วงปีที่ผ่านมา ทางบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ได้ริเริ่มสร้างระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์สและแพลตฟอร์มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แบบเปิด ซึ่งแนวทางนี้ได้กระตุ้นให้เกิดรูปแบบความร่วมมือใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มมากขึ้นในปีนี้อีกด้วย

 

ทั้งนี้ บริษัทด้านยานยนต์ยังหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลในลักษณะเดียวกันกับที่โลกเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น “เป้าหมายของบริษัทไม่ใช่เพื่อขายข้อมูล แต่เพื่อนำข้อมูลมาสร้างหรือบูรณาการระบบนิเวศที่จะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลหลากหลายยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาฟีเจอร์หรือบริการดิจิทัลที่น่าสนใจยิ่งขึ้นนั่นเองล่ะครับ

 

4. ผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มระบบอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-The-Air (OTA) เป็นช่องทางสร้างรายได้หลักบนดิจิทัล ในปีที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์แบบ Over-The-Air (OTA) เมื่อผู้ผลิตหลายรายเริ่มเสนอการอัปเดตซอฟต์แวร์ในรูปแบบดังกล่าวแล้วครับ

 

โดยผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ ได้อัปเดตฮาร์ดแวร์ของรถยนต์เพื่อเปิดรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งในปัจจุบัน พวกเขากำลังเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง ไปใช้ในรูปแบบรายได้ที่อ้างอิงจากบริการมากกว่าการยอดขายสินค้า

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2023 ครึ่งหนึ่ง (50%) ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ 10 อันดับแรกจะนำเสนอความสามารถในการปลดล็อกและอัปเกรดผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถซื้อได้หลังการจำหน่ายรถยนต์ครับ

 

5. ยานยนต์ไร้คนขับ กับกฎระเบียบเพิ่มเติมและอุปสรรคเชิงพาณิชย์ที่ยังไม่หายไปไหน ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการตรวจจับ (Sensing Technology) จะพัฒนาดีขึ้น แต่อัลกอริทึมของการรับรู้ก็มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นตลอดจนกฎระเบียบและมาตรฐานการพัฒนาด้านต่างๆ ก็คืบหน้าไปเช่นกัน โดยที่ผู้พัฒนายานยนต์ไร้คนขับยังคงเผชิญความท้าทายในการขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเมืองหรือพื้นที่ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องครับ

 

โดยผู้ผลิตรถยนต์ได้เริ่มเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 3 และกำลังดำเนินการติดตั้งใช้งานรถบรรทุกไร้คนขับในระดับ 4 รวมถึง ระบบการให้บริการรถรับส่งแบบ Taxi (หรือ Robotaxis) สำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์นั่นเองครับ

 

ถึงอย่างไรก็ตามการทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีอัตโนมัตินั้นยังคงต้องใช้เวลาและรูปแบบการจำลองการขับให้มีความครอบคลุมรวมถึงการทดสอบในท้องถนนจริงๆ นั่นทำให้การผลิตเชิงพาณิชย์ เป็นไปได้ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นต่างๆ อาทิ การรับผิดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อพิจารณาทางสังคม เช่น วิธีการสื่อสารโต้ตอบระหว่างรถที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์และรถที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังเพิ่มความท้าทายให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ

 

ในส่วนของต้นทุน ด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูงมากในระบบ Robotaxis หรือระบบอัตโนมัติระดับ 4 ในรถบรรทุกขนาดใหญ่ นอกจากเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเร็วของการนำระบบอัตโนมัติมาปรับใช้ให้มีความแพร่หลายแล้ว ยังรวมถึงการส่งมอบผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อีกด้วย ซึ่งมันดูย้อนแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องมาจากข้อดีหลักอย่างหนึ่งของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติก็คือการลดต้นทุนด้านการดำเนินงานของภาคการขนส่ง

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ คาดว่าภายในปี 2030 ทั่วโลกจะมีจำนวนรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเชิงพาณิชย์ (Robotaxis) ระดับ 4 เปิดให้บริการสูงกว่ารถแท็กซี่ในปัจจุบันถึง 4 เท่ากันเลยทีเดียวครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

---Wynnsoft Solution รับทำเว็บไซต์ รับทำ SEO รับทำการตลาดออนไลน์ รับทำโฆษณา Facebook รับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น และรับทำเว็บไซต์ทั่วประเทศ---

 

ข้อมูลจาก : sanook.com